เมนู

10. สมุคคชาดก



ว่าด้วยเปรียบหญิงมีอาการคล้ายก้นเหว



[1292] แน่ะท่านผู้เจริญทั้งสาม ท่านพากันมา
จากที่ไหนหนอ ท่านทั้งหลายมาดีแล้ว เชิญ
มานั่งที่อาสนะนี้เถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่าน
ทั้งหลายเห็นจะสุขสบายดี ไม่มีความเจ็บไข้
กระมัง นานมาแล้ว ท่านทั้งหลายเพิ่งมาใน
ที่นี้.
[1293] วันนี้ข้าพเจ้ามาถึงที่นี้คนเดียวเท่านั้น
อนึ่ง ใครผู้ที่จะเป็นที่สองของข้าพเจ้าก็มีได้มี
ข้าแต่พระฤาษี คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า แน่ะ
ท่านผู้เจริญทั้งสาม ท่านพากันมาจากที่ไหน
หนอ ดังนี้ หมายถึงอะไร ?
[1294] ท่านคนหนึ่ง และภรรยาที่รักของท่าน
ที่ท่านใส่ไว้ในสมุคคนหนึ่ง ภรรยาที่ท่านใส่ไว้
ในท้อง รักษาไว้ทุกเมื่อนั้น ร่วมยินดีกับ

วิชาธรชื่อว่าวายุบุตรภายในท้องของท่านนั้นอีก
คนหนึ่ง.

[1295] ทานพนั้นอันฤาษีชี้แจงให้ฟังแล้ว ก็มี
ความสลดใจสะดุ้งกลัว จึงคายสมุคออกมา
เปิดดู ได้เห็นภรรยาผู้ทัดทรงดอกไม้อันสะอาด
ร่วมยินดีกับวิทยาธรชื่อว่าวายุบุตรในสมุคนั้น.
[1296] เหตุข้อนี้ ท่านผู้ประพฤติตบะชั้นสูง
เห็นดีแล้ว นรชนทั้งหลายเหล่าใดเป็นคน
เลวทราม อยู่ในอำนาจแห่งความชื่นชม
ยินดี นรชนทั้งหลายเหล่านั้น ได้แก่ตัวเราเอง
เพราะว่าภรรยาที่เรารักษาไว้ในท้อง เพียงดัง
ชีวิต กลับมาประทุษร้ายเราไปชื่นชมยินดีกะ
บุรุษอื่น.
[1297] เราบำรุงบำเรอภรรยานั้นทั้งกลางวัน
กลางคืน เหมือนดาบสผู้มีตบะอยู่ในป่าบำเรอ
บูชาไฟอันลุกโชนฉะนั้น นางยังก้าวล่วงธรรม
ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เราไม่ควรเชยชิด
ภรรยาผู้ร่าเริงเช่นนี้.

[1298] เรามักมั่นใจหญิงผู้ไม่มีความสงบ ไม่
สำรวมว่าอยู่ในท่ามกลางสรีระของเรา และมั่น
ใจว่าเป็นภรรยาของเรา ดังนั้น นางจึงก้าวล่วง
ธรรม ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เราไม่ควร
เชยชิดภรรยาผู้ร่าเริงเช่นนี้.
[1299] บัณฑิตจะพึงวางใจว่า หญิงนี้เรารักษา
ไว้ดีแล้วดังนี้อย่างไรได้ อุบายที่จะป้องกัน
รักษาหญิงผู้มีหลายใจไม่พึงมีโดยแท้ เพราะว่า
หญิงเหล่านั้นมีอาการคล้ายกับเหวที่เรียกกันว่า
บาดาล บุรุษผู้ประมาทในหญิงเหล่านั้น ย่อม
ถึงความพินาศทั้งนั้น.
[1300] เพราะเหตุนั้นแหละ ชนเหล่าใดไม่
เที่ยวคลุกคลีกับมาตุคาม ชนเหล่านั้นเป็นผู้มี
ความสุขไร้โศก ความประพฤติไม่คลุกคลี
กับมาตุคามนี้ เป็นคุณนำความสุขมาให้ ผู้
ปรารถนาความเกษมอันอุดม ไม่ควรเชยชิด
ด้วยมาตุคามทั้งหลาย.

จบ สมุคคชาดกที่ 10

อรรถกถาสมุคคชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ.
ภิกษุผู้กระสัน จึงได้ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า กุโต นุ อาคจฺฉถ ดังนี้.
ความย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุผู้กระสันนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรือ ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริง
พระเจ้าข้า ดังนี้ รู้ว่า ดูก่อนภิกษุ เธอปรารถนามาตุคามเพราะ
เหตุไร ? ขึ้นชื่อว่ามาตุคามไม่ใช่สัตบุรุษุ เป็นอกตัญญู แม้ยักษ์ทานพ
ในกาลก่อน กลืนมาตุคามเข้าไว้ในท้องพาเที่ยวไป ก็ยังไม่อาจรักษา
มาตุคาม ทำให้เธอมีสามีคนเดียวได้ เธอจักอาจรักษาได้อย่างไร ดังนี้
แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนคร
พาราณสี พระโพธิสัตว์สละกามเข้าไปในดินแดนป่าหิมพานต์ บวช
เป็นฤาษี ได้อภิญญาและสมาบัติแล้ว ดำรงชีพอยู่ด้วยผลไม้น้อยใหญ่
ณ ที่ไม่ไกลบรรณศาลาของพระโพธิสัตว์นั้น มียักษ์ทานพตนหนึ่งอยู่
ยักษ์นั้นเข้าไปหาพระมหาสัตว์ ฟังธรรมอยู่เสมอ ๆ อนึ่ง ยักษ์นั้นมัก
ไปอยู่ที่หนทางที่มนุษย์ทั้งหลายสัญจรไปมาในดง เห็นมนุษย์เดินทางมา
ก็จับกินเสีย.
ครั้งนั้น ในแคว้นกาสี มีนางกุลธิดาคนหนึ่ง มีรูปร่างสวยงาม
มาก อาศัยอยู่ ณ ปัจจันตคามแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง นางมาเพื่อจะเยี่ยม